การก่ออาชญากรรมเกี่ยวกับ Cryptocurrency ในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากขาดผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญในสาขานี้ และยังขาดเทคโนโลยีที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลนี้ได้ถูกรายงานจากงานสัมมนาเชิงวิชาการของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(TIJ) ร่วมกับ United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC)
นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยถึงข้อมูลที่ค้นพบจากการศึกษาร่วมกันของ TIJ กับ UNODC ว่าการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
นายกิตติรักษ์ยังกล่าวถึงเรื่องการฟอกเงิน,การปลอมเอกสารการเดินทางและ ID CARD,แก๊งค์call center,การค้ามนุษย์,การลักลอบขนยาเสพติดและการฉ้อโกงบัตรเครดิต เหล่านี้เป็นตัวอย่างของอาชญากรรมที่พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นายกิตติรักษ์ และ UNODC กล่าวว่า cryptocurrencies นั้นถูกใช้ในการหาทุนของผู้ก่อการร้ายและการฟอกเงิน ถึงแม้จะมีเพียงไม่กี่กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ตาม แต่ก็ยังพบเห็นการใช้ cryptocurrencies เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าไถ่ในคดีลักพาตัว,การซื้อสื่อลามกอนาจารของเด็ก,การซื้ออาวุธผิดกฎหมายและมัลแวร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ผู้อำนวยการ TIJ ตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขของอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ ตัวอย่างล่าสุดคือการฉ้อโกงและการฟอกเงินในคดีที่เกี่ยวกับนักแสดงชาวไทยที่ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงเงินของชาวฟินแลนด์มูลค่ากว่า 25 ล้านดอลล่าร์ โดยตำรวจไทยยังคงสืบสวนกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง
ความยากลำบากที่หน่วยงานของไทยต้องเผชิญก็ถูกนำมาใช้ในการศึกษาโดยนายกิตติรักษ์กล่าวว่า “ข้อ จำกัดด้านทรัพยากรบุคคล , การขาดการสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพอันเนื่องมาจากขาดความสามารถทางภาษาต่างประเทศและเรื่องการทุจริตของข้าราชการ” เป็นประเด็นหลักที่หน่วยงานต้องรับมือ
ที่มา : LINK