วันนี้ (27 มีนาคม 2561) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก.คุมเงินดิจิทัล จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งตัดการพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายให้เหลือ 2 สกุลเงิน คือ คริปโต และ โทเคน โดยคงการจัดเก็บภาษี ณ ที่จ่ายตามเดิมในสัดส่วน 15%
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ ได้พิจารณาเห็นชอบร่าง พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป
คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้มีการปรับแก้ไขสาระสำคัญของกฎหมายของ พ.ร.ก. แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอให้มีการตัดคำว่า “สกุลเงินอื่นๆ” ในร่างกฎหมายออกไปก่อนคงไว้แต่ในส่วนของ “สกุลเงินดิจิทัล” ที่เกิดขึ้นแล้วคือ “คริปโต” และ “โทเคน” โดยหากในอนาคตหากมีสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆเพิ่มขึ้น จึงค่อยมีการเสนอให้ ครม.พิจารณาเพิ่มเติมต่อไป ขณะที่ในการจัดเก็บภาษีที่เกิดขึ้นจากธุรกรรมเงินดิจิทัลยังคงสัดส่วนการจัดเก็บตามที่ กรมสรรพากรเสนอมา
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ในการจัดเก็บภาษีที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลยังคงไว้ที่ 15% และนำไปรวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตามหากมีการแลกเปลี่ยนกันโดยไม่มีผลกำไรเกิดขึ้น ให้เสียเฉพาะในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น”
อนึ่งหลังจากข่าวนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกมา คุณศักดา เกตุแก้ว เจ้าของเว็บเทรด cash2coins ได้เข้ามาให้คำแนะนำใน กลุ่ม Telegram ของ Bitcoin Addcit ให้ทำการถอนเงินสดออกไปก่อน เพราะไม่อยากมีปัญหากับลูกค้า ถ้าต้องหัก ณ ที่จ่าย ตามกฎหมายจาก พรก. ฉบับนี้
ก็ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคงไม่มีอะไรพลิกโผจากข่าว ร่างพรก. ก่อนหน้า ที่จะมีการจัดเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15% แต่หลังจากนี้คงต้องจับตาดูกันอีกว่าเว็บเทรดแต่ละเว็บในประเทศไทย จะมีการปรับตัวหรือรับมืออย่างไร กับกฎหมายการจัดเก็บภาษีสกุลเงินดิจิทอลในรูปแบบนี้