สวัสดีครับ เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาแอดมินณะได้มีโอกาสไปร่วมงาน Bitcoin center thailand open house party โดยมีทางบรรดากูรูขั้นเทพด้านคริปโตของเมืองไทย5ท่านดังนี้
- คุณท๊อป อดีตผู้ก่อตั้ง coins.co.th
- ดร.ภูมิ ที่ปรึกษาอาวุโสบล๊อคเชน และความปลอดภัยคอมพิวเตอร์
- คุณหนึ่ง ผู้สร้างเหรียญ Zcoin (และ อดีตผู้ก่อตั้ง VTC)
- คุณต้น ผู้ก่อตั้ง Bitcoin Thailand Club และเพจ What the coin
- อ.ยุทธ ผู้ก่อตั้ง Crypto Trading Club
เพื่อมาตอบคำถามและวิเคราะห์ตลาดคริปโตในปี 2018 ซึ่งบอกได้เลยว่าใครไม่มางานนี่นี้ถือว่าพลาดมากๆ แต่ไม่เป็นไรวันนี้แอดมินณะขอมาสรุปให้บรรดาแฟนเพจแบบจุใจกันเลยครับ

จุดเปลี่ยนของคริปโตในปี 2017
ในมุมมองของกูรูทั้ง 5คนจุดเปลี่ยนที่ทำให้กระแสของคริปโตเกิดบูมขึ้นมานั้นมีดังนี้
- เกิดการเริ่มต้นของ ETH ที่ทำให้ใครก็ตามสามารถระดมทุนผ่านplatform และออกเหรียญตัวเองซึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนจำนวนมากมายมหาศาลและมีการเก็งกำไรในตัว ICO ดาวรุ่งซึ่งสามารถทำกำไรได้หลายเท่าในเวลาที่ไม่นานเป็นส่วนหนึ่งที่ล่อตาล่อใจให้นักลงทุนจำนวนมากเไหลเข้ามาในตลาด
- ญี่ปุ่นรับรองให้ Bitcoin ถูกกฎหมายสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการได้และเกิดเทรนด์ที่ทำให้ประเทศต่างๆเริ่มทำตาม
- การเทรดฟิวเจอร์ของ CME ทำให้คนทั่วๆไปเริ่มเข้าถึงตัว Bitcoin และมีเหล่านักลงทุนใน Wall street เข้ามาในตลาดมากยิ่งขึ้น
“เราลงทุนกับคริปโตไม่จำเป็นต้องมากมาย แค่นำเงินหมื่นเงินแสนเพื่อมาคว้าเงินล้านกัน” กล่าวโดยอาจารย์ยุทธ
ปีนี้จะเป็นปีที่สามารถทำกำไรได้อย่างปีที่แล้วมั้ยและปีนี้ฟองสบู่จะแตกหรือไม่
โดยในปีนี้ในมุมคุณท๊อปมองว่า “ปีนี้จะเป็นตัวตัดสิน ICO หลายๆตัวในปีที่แล้วว่าสามารถทำได้จริงมั้ยซึ่งจะมีตัวที่ตายจากไปอย่างแน่นอน และจะเริ่มมีการใช้งาน Blockchainจริงๆในหลายๆโปรเจคซึ่งอาจจะมาเปลี่ยนแปลงโลกเราได้เลยทีเดียวถ้าเราหาในตัวพวกนี้เจอเราก็สามารถทำกำไรได้ ในส่วนฟองสบู่ผมมองโดยใช้ตัวเลขมาคำนวณ global finanical asset ทั้งโลกอยู่ที่ 500 trillion แต่คริปโตยังไม่ถึง1 trillion เลยถ้ามองว่ามูลค่าตลาดคริปโตมีมูลค่าสูงขึ้นแค่1%ของ500 trillionภายใน3ถึง5ปีที่นั้นหมายความว่าตลาดจะโตได้อีกเกือบสิบเท่า แต่ฟองสบู่ต้องมีการแตกเพื่อให้ทุกคนรับรู้อย่างเช่นตอนอินเตอร์เน็ต ซึ่งมันจะเป็นฟองสบู่ที่สามารถทำตลาดเติบโตไปต่อได้”
ส่วนของคุณหนึ่งมองว่า “การที่CME เปิดฟิวเจอร์Bitcoinและมีโอกาสจะเปิดตัวอื่นๆเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้กับทั้ง2เทรนด์ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงนั้นหมายความว่าทำให้กองทุนบริหารความเสี่ยงสำหรับคริปโตสามารถวิเคราะห์การทำกำไรได้ง่ายขึ้นและพร้อมที่จะเข้ามาในตลาดนี้ เรียกได้ว่ามีมากถึง200กองและแต่ละกองมีเงินทุนมหาศาล ทำให้ผมมองว่าฟองสบู่ของ Bitcoinจะไม่แตก รวมถึงพวกplatform ในการทำ smart contract อย่างเช่น ETH, NEO, QTUM,XEM จะมีการแข่งขันกันสูงขึ้นมากๆทำให้มีอนาคตที่สดใสแต่นั้นก็จะทำให้ICO จะเกิดมากมายมหาศาล แต่บางโปรเจคจะมีบริษัทที่ทำด้านนั้นๆอยู่แล้วเปิด Blockchainภายในองค์กรก็จะทำให้บางโปรเจค ICO ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้และจะตายไป ซึ่งทำให้มองว่าปีนี้จะเป็นฟองสบู่ ICOที่มีโอกาสจะแตกมากกว่า”
ส่วนความเห็นของคุณต้น “ต้องระวังการออกนโยบายของประเทศต่างๆอย่างเช่นเกาหลี ว่าจะมีการแบนการซื้อขายคริปโตหรือไม่ ทุกคนต้องทำใจที่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคามันลงไปมากกว่า 50%ซึ่งอยากให้ทุกคนติดตามข่าวให้ดีๆทำให้ปีนี้การลงทุนต้องระมัดระวังมากกว่าปีที่แล้วและต้องบริหารพอร์ตให้ดีๆและมีการนำกำไรออกไปเป็นเงินสดบ้างเพราะคริปโตก็สามารถทำให้คุณหมดตัวได้”
ส่วนความเห็นของอาจารย์ยุทธ “Bitcoinที่ขึ้นมา9ปีก็น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนว่ามันเป็นฟองสบู่ที่โตขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุนั้นมาจาก Bitcoin มีจำนวนจำกัด และกลุ่มคนที่เข้ามาแรกๆนั้นเค้าไม่ยอมปล่อยของออกมาง่ายๆซึ่ง ซึ่งทำให้เจ้ามือสามารถคุมเกมได้ซึ่งต้องระวังให้ดี แต่ก็สามารถทำกำไรได้ไม่ยากถ้ามีการบริหารจัดการเงินทุนให้ดี,ไม่โลภ และผมมองว่าตอนนี้ Bitcoinอยู่ที่เวฟ3 ถ้าทะลุ20000ได้เร็วก็จะไม่จบเวฟ3และจะไปต่อได้ ถ้าใครอยากจะเข้าให้รอพุ่งผ่าน20000 หรือรอให้มันตกมาต่ำกว่า10000”
“ผมเป็นคนที่เลือกเหรียญที่จะถือนานมากๆต้องดู เข้าใจในเทคโลยีศึกษาเป็นเดือน และผมจะถือไม่กี่ตัว เรียกได้ว่าถือตัวเดียวจบ และตลาดไม่ใช่ฟองสบู่แต่สินทรัพย์บางตัวผมว่าใช่” กล่าวโดยดร.ภูมิ
ขอหวยหน่อยครับ
คุณท๊อป: ความเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าซื้อตาม ผมมองว่าBlockchainจะคล้ายกับบริษัท Internetใหญ่ๆอย่าง Facebook ซึ่งจะมี Network effect ทำให้ผมคิดว่า Blockchainที่จะมีมูลค่ามากที่สุด คือตัวที่มีNetworkใหญ่ที่สุดอย่าง ETHเพราะ90%ของเหรียญในตลาดก็อยู่บน Eth ครับ นอกจากนี้ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Decentralized Exchange(OMG,KNC,ZRX) จะมาเพราะโปรดักส์จะออกปีนี้ซึ่งทุกคนจะมีข้อกังวลในส่วนของเว็บเทรดต่างๆว่าจะโดนแฮ็คมั้ย เหรียญจะหายมั้ย ซึ่ง DEX จะเป็นที่ที่ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยน Tokenต่างๆกันได้อย่างง่ายดายโดยไร้ตัวกลาง โดยการซื้อขาย Tokenเราไม่ได้ซื้อขายแค่เหรียญมันคือการซื้อขายบริษัทที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องมี CEO,ตัวกลาง ส่วนตัวที่ผมไม่แนะนำผมซึ่งเป็นตัวที่พึ่งถูกแซงตำแหน่งไปได้ไม่นาน มันไม่เป็น Blockchain เป็นแค่ Database เท่านั้นเองผมไม่แนะนำและอันตรายมาก
อาจารย์ยุทธ: แนะนำเหรียญที่เป็น Platformน่าสนใจ อย่างพวก ETH,NEO,QTUM โดยมองว่าplatformของคนจีนปีนี้น่าจะมีโอกาสเติบโตได้อย่าง ETH เมื่อปีที่แล้ว และเหรียญที่ปกปิดการทำธุรกรรมอย่างเช่น ZCOIN,XMR,ZCASH,DASH เพราะมีการเพิ่มความต้องการจากการเรียกค่าไถ่
อาจารย์ต้น: ตัวที่เหมือน XRP แต่เป็น blockchainจริงๆซึ่ง Marketcap ต่ำนั้นก็คือ WAN นั้นเองซึ่งยังไม่เปิดการซื้อขายควรจับตามองให้ดี และเหรียญอย่าง Platform โดยปีนี้ผมเชียร์ NEO ครับเหรียญที่ควรระวังก็พวก ICO ที่อาจจะหลอกลวงชิ่งเงินหนีไปควรดูให้ดีๆและอย่าเล่นตัวที่คนทั้งโลกไม่ได้เห็นค่าเหมือนคุณ
USDT และคำเตือนจาก ดร.ภูมิ
USDT ที่มามันมาจากคนต้องการ USD มาแลกเปลี่ยนในหลายๆexchange แต่การรับ USD เข้ามาจะทำให้เว็บเทรดต้องเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ทำให้มีคนคิดว่าถ้ารับ 1 USD มาเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดิจิตอลบางอย่างที่ขึ้นกับ 1USD โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าของเงินนี้คือนิยามของstable coin
สาเหตุที่ ราคาUSDT มีความเสี่ยงเพราะว่าต้องมีฟังค์ชั่นบางอย่างที่ทำให้คนนี้สร้างเหรียญเพิ่มได้(ถ้าใครได้คีย์นี้ไปก็สร้างUSDTได้เอง) ซึ่งถ้ามองว่า USDT เป็นคริปโตมั้ยก็จะคล้ายๆกับเหรียญที่เป็น centralized token ความเสี่ยงก็จะอยู่ที่ศูนย์กลางนั้นเอง ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะมีช่วงนึงราคา USDT จะไม่เท่ากับ USD ในช่วงนั้นBitfinex โดนธนาคารร่วมกันต่อต้านไม่ให้มีการโอนเงินออกจากฮ่องกงได้ เพราะมีธนาคารใน US บอกว่ามีการฟอกเงินเกิดขึ้นที่ Bitfinex ทำให้ราคา USDT ลดทันทีเพราะ1 USD ที่ใช้ได้ในไต้หวัน(ธนาคารของBifinexอยู่ไต้หวันแต่Business อยู่ฮ่องกง) เท่านั้นย่อมมีมูลค่าน้อยกว่า 1 USD ที่ใช้ได้ทั่วโลก และยังมีความเสี่ยงอีกอย่างคือ Bitfinexมีเงินเท่ากับ USDT ที่ผลิตเพิ่มขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งถ้าเราเข้าใจ USDT เราก็จะเข้าใจถึงความเสี่ยงในการถือและมีวิธีการเทรดที่รัดกุมขึ้น
ในส่วนของคำเตือน อยากจะเตือนคนที่รวยขึ้นจากคริปโตเพราะจะเข้าข่ายต้องสงสัยของ ปปง. จากข้อหาร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งคุณควรเก็บที่มาที่ไปของกำไรจากการเทรดเพราะเว็บเทรดไม่ได้เก็บหลักฐานพวกนี้ให้ตลอด สิ่งที่น่ากลัวจริงๆไม่ใช่ภาษี แต่มันคือการนำเงินออกมาไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่คนไม่รู้ว่าเงินต้องมีที่มาที่ไป ถ้าไม่มีที่มาที่ไปนั้นคือผิดกฎหมาย ต่อให้คุณกำไรเป็น100เท่าแต่นำเงินออกมาใช้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมายนี้คือเรื่องที่อยากจะฝากไว้ครับ