ลูกค้ารายหนึ่งของ Starbucks ในบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า พบว่าหลังจากซื้อกาแฟและเชื่อมต่อ WIFI กับแล็ปท็อปของเขาแล้ว แล็ปท็อปของเขากลับถูกแอบนำไปขุดเหรียญ cryptocurrency ทางด้าน Starbucks ก็ได้ออกมาแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เลิกพูดถึงเถอะ มันแค่ Hotspot
ภัยซ่อนเร้นของการขุด cryptocurrency เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากในปีนี้ การที่เว็บไซต์แอบนำซีพียูของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บ ไปขุด cryptocurrency เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก โค้ดนี้สามารถซ่อนอยู่เบื้องหลังและเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา ทำให้แล็ปท็อปและอุปกรณ์อื่นๆทำงานได้ช้าลง และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ นาย Noah Dinkin หลังจากไปเยือน Starbucks ในเมืองหลวงของอาร์เจนตินา เขาทวีตข้อความว่า
ในความเป็นจริง โค้ดนี้จะใช้ซีพียูของเขากับการขุดเหรียญ Monero แต่ความรู้สึกก็ยังคงเหมือนกัน จำนวนของเหรียญ Monero ที่ขุดโดยใช้ CPU นั้น จะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ด้วยเครื่องแล็ปท็อปหลายพันเครื่องทำงานควบคู่กันไปพร้อมกัน กำไรก็อาจเพิ่มขึ้นได้ เว็บไซต์ Coinhive ผู้เป็นเจ้าโค้ดอันตรายนี้ ได้กล่าวไว้ว่า “สร้างรายได้จากธุรกิจของคุณด้วยพลัง CPU จากผู้ใช้งานของคุณซะสิ”
หลังจากได้รับแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว สตาร์บัคส์ได้ให้เครดิตโดยตอบกลับว่า:
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ ร้านค้าที่ให้บริการ wifi แก่บุคคลภายนอก หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น โฆษกของ Starbucks ได้ออกมากล่าวว่า
“wifi ไม่ได้ดำเนินการโดย Starbucks เราไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุม เแต่เราขอรับรองว่าลูกค้าของเราสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการของเราเมื่อมีบางสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้น และเราไม่มีความกังวลว่าสิ่งนี้จะเกิดกับทุกสาขาของเรา”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ยังดูมีความเมตตามากกว่าอีกหลายๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ crypto เช่นการถูกแฮ็ค อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของ cryptocurrency คุณอาจไม่สามารถจ่ายเงินสำหรับค่ากาแฟของคุณด้วย cryptocurrency แต่กาแฟ Starbucks ของคุณกลับถูกนำไปจ่ายเป็นค่า cryptocurrency แบบนี้มันยุติธรรมมั้ย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มาฟรีๆ — แม้แต่ฟรี Wifi